เลือกแอร์แบบไหนดี? เปรียบเทียบประเภทเครื่องปรับอากาศแต่ละชนิด พร้อมข้อดี-ข้อเสีย (ฉบับเข้าใจง่าย)

อากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าวเกือบทั้งปี ทำให้ “เครื่องปรับอากาศ” หรือ “แอร์” กลายเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบ้านและอาคารต่าง ๆ แต่พอจะซื้อแอร์ทีไร หลายคนก็มักจะเกิดคำถามว่า “แล้วจะเลือกแอร์แบบไหนดีล่ะ?” เพราะปัจจุบันมีแอร์ให้เลือกหลากหลายประเภท แต่ละแบบก็มีคุณสมบัติ การใช้งาน และข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจและเปรียบเทียบประเภทของเครื่องปรับอากาศยอดนิยม เพื่อให้คุณสามารถเลือกแอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน งบประมาณ และไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างเหมาะสมที่สุดค่ะ


1. เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง (Wall Mounted Type)

นี่คือประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและคุ้นเคยกันดีตามบ้านพักอาศัยและคอนโดมิเนียมทั่วไป มีลักษณะเป็นยูนิตภายในอาคารติดตั้งบนผนัง และยูนิตภายนอกอาคาร (คอมเพรสเซอร์) ติดตั้งอยู่นอกบ้าน

เหมาะสำหรับ: ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องทำงานขนาดเล็ก-กลาง, คอนโดมิเนียม

ข้อดี:

  • ได้รับความนิยมสูง: ทำให้มีตัวเลือกสินค้า แบรนด์ และราคาที่หลากหลายมากที่สุดในตลาด
  • ดีไซน์สวยงามทันสมัย: มีรูปลักษณ์ที่กลมกลืนกับการตกแต่งภายในห้องได้ง่าย
  • ประหยัดพื้นที่: ติดตั้งบนผนัง ทำให้ไม่กินพื้นที่ใช้สอยบนพื้น
  • ราคาเข้าถึงง่าย: มีตั้งแต่รุ่นราคาประหยัดไปจนถึงรุ่นฟังก์ชันพรีเมียม ทำให้เลือกได้ตามงบประมาณ
  • ค่าไฟไม่สูงมาก (รุ่น Inverter): ปัจจุบันเทคโนโลยี Inverter ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้ดีเยี่ยม
  • เสียงเงียบ: โดยส่วนใหญ่แล้วยูนิตภายในอาคารทำงานค่อนข้างเงียบ เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ (ส่วนที่เสียงดัง) อยู่ภายนอก
  • ติดตั้งและดูแลรักษาง่าย: ช่างส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการติดตั้งและซ่อมบำรุงแอร์ประเภทนี้ ทำให้หาช่างง่าย

ข้อเสีย:

  • ต้องเจาะผนัง: การติดตั้งต้องเจาะผนังเพื่อเดินท่อและสายไฟ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ห้องเช่า หรือคอนโดที่ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง
  • เคลื่อนย้ายไม่ได้: เมื่อติดตั้งแล้วจะอยู่กับที่ ไม่สามารถย้ายไปใช้ห้องอื่นได้
  • ไม่เหมาะกับห้องขนาดใหญ่มาก: สำหรับห้องที่มีพื้นที่กว้างมาก ๆ อาจต้องติดตั้งหลายเครื่อง หรือเลือกใช้แอร์ประเภทอื่นที่มีกำลัง BTU สูงกว่า
  • ต้องมีพื้นที่ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ภายนอก: บางครั้งอาจมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่สำหรับวางคอมเพรสเซอร์

2. เครื่องปรับอากาศแบบเคลื่อนที่ (Portable Air Conditioner)

แอร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ไม่ต้องติดตั้งถาวร และไม่ต้องเจาะผนัง ตัวเครื่องจะรวมทั้งยูนิตทำความเย็นและคอมเพรสเซอร์ไว้ในเครื่องเดียวกัน พร้อมท่อสำหรับระบายลมร้อนออกนอกห้อง

เหมาะสำหรับ: ห้องที่ไม่สามารถติดตั้งแอร์ผนังได้ (เช่น ห้องเช่า, คอนโดที่ไม่อนุญาตเจาะ), ห้องที่มีการใช้งานชั่วคราว, ห้องที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้าย

ข้อดี:

  • เคลื่อนย้ายได้สะดวก: มีล้อเลื่อน ทำให้สามารถเข็นไปใช้งานในห้องต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
  • ไม่ต้องติดตั้งถาวร/ไม่ต้องเจาะผนัง: เพียงแค่เสียบปลั๊กและต่อท่อลมร้อนออกนอกห้องก็พร้อมใช้งาน
  • ติดตั้งง่ายด้วยตัวเอง: ไม่ต้องง้อช่าง สามารถติดตั้งเองได้ภายในเวลาไม่นาน
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง: ไม่ต้องเสียค่าจ้างช่างติดตั้งแอร์
  • เหมาะกับห้องขนาดเล็ก: ทำความเย็นได้ดีในพื้นที่จำกัด (ตามขนาด BTU)
  • บางรุ่นมีระบบระเหยน้ำอัตโนมัติ: ช่วยลดความถี่ในการเทน้ำทิ้ง

ข้อเสีย:

  • เสียงดังกว่าแอร์ผนัง: เนื่องจากคอมเพรสเซอร์อยู่รวมกับตัวเครื่อง ทำให้มีเสียงการทำงานที่ดังกว่าแอร์ผนังพอสมควร
  • ประสิทธิภาพการทำความเย็น: อาจไม่เย็นทั่วถึงเท่าแอร์ผนังในห้องขนาดเท่ากัน (โดยเฉพาะรุ่น BTU ต่ำ) และต้องระบายลมร้อนออกนอกห้องเสมอ
  • เปลืองพื้นที่ใช้สอย: แม้จะเคลื่อนที่ได้ แต่ตัวเครื่องก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ กินพื้นที่พื้นห้อง
  • กินไฟสูงกว่า (บางรุ่น): เนื่องจากเครื่องทำงานหนักกว่า และอาจมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่น้อยกว่า
  • ต้องมีช่องทางระบายลมร้อน: จำเป็นต้องมีหน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศ เพื่อให้ต่อท่อลมร้อนออกไปได้ มิฉะนั้นห้องจะไม่เย็น
  • ต้องทำความสะอาดแผ่นกรองบ่อยกว่า: เพราะมีโอกาสดักจับฝุ่นได้ง่ายกว่า
  • อาจต้องเทน้ำทิ้ง (บางรุ่น): แม้หลายรุ่นจะมีระบบระเหยอัตโนมัติ แต่ในวันที่อากาศชื้นมาก ๆ ก็อาจมีน้ำขังที่ต้องเททิ้ง

3. เครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้า (Cassette Type)

แอร์แบบนี้จะติดตั้งซ่อนอยู่ภายในฝ้าเพดาน มองเห็นเฉพาะหน้ากากแอร์ที่อยู่ระดับเดียวกับเพดาน ทำให้ดูเรียบร้อย สวยงาม และช่วยกระจายลมเย็นได้ทั่วถึงกว่า เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ

เหมาะสำหรับ: ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่, ห้องรับแขก, ห้องประชุม, ร้านอาหาร, ร้านค้า, สำนักงาน, ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นที่ต้องการความเรียบร้อย

ข้อดี:

  • สวยงามทันสมัย: กลมกลืนไปกับฝ้าเพดาน ไม่บดบังทัศนียภาพของห้อง
  • กระจายลมเย็นทั่วถึง: ลมเย็นสามารถกระจายได้หลายทิศทาง (2-4 ทิศทาง) ทำให้ความเย็นทั่วถึงแม้ในห้องขนาดใหญ่
  • ประหยัดพื้นที่ผนัง: ไม่ต้องใช้พื้นที่บนผนัง ทำให้สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ตามต้องการ
  • เสียงเงียบ: เนื่องจากคอมเพรสเซอร์อยู่ภายนอก และตัวเครื่องส่วนใหญ่อยู่ในฝ้า ทำให้เสียงรบกวนน้อย
  • เหมาะกับห้องขนาดใหญ่: มี BTU ให้เลือกสูง ตอบโจทย์พื้นที่กว้างขวาง

ข้อเสีย:

  • ราคาสูง: มีราคาสูงกว่าแอร์แบบติดผนังอย่างชัดเจน ทั้งตัวเครื่องและค่าติดตั้ง
  • ติดตั้งซับซ้อน: ต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง และต้องมีการเตรียมโครงสร้างฝ้าเพดานล่วงหน้า
  • บำรุงรักษายากกว่า: การทำความสะอาดหรือซ่อมบำรุงต้องเปิดฝ้าเพดาน ทำให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
  • ไม่เหมาะกับเพดานต่ำ: ต้องมีพื้นที่เหนือฝ้าเพดานเพียงพอสำหรับการติดตั้ง
  • ต้องออกแบบแต่เนิ่นๆ: หากเป็นบ้านหรืออาคารที่กำลังก่อสร้าง ควรวางแผนการติดตั้งแอร์ฝังฝ้าตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ

4. เครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้น/แขวนใต้ฝ้า (Floor Standing/Ceiling Mounted Type)

เป็นแอร์ที่มีกำลัง BTU สูง เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ที่มีกิจกรรมเยอะ มีทั้งแบบตั้งพื้นและแบบแขวนใต้ฝ้าเพดาน

เหมาะสำหรับ: ห้องโถง, ห้องประชุมขนาดใหญ่, ร้านค้า, โกดัง, โรงงาน, ห้องอาหาร, โถงทางเดิน

ข้อดี:

  • กำลังลมแรงและทั่วถึง: สามารถส่งลมเย็นได้ไกลและครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ดีเยี่ยม
  • ทนทานต่อการใช้งานหนัก: ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานต่อเนื่องในพื้นที่ขนาดใหญ่
  • บำรุงรักษาง่าย (แบบตั้งพื้น): สำหรับแบบตั้งพื้น การทำความสะอาดหรือซ่อมแซมสามารถเข้าถึงได้ง่าย
  • ติดตั้งไม่ซับซ้อนเท่าฝังฝ้า: (สำหรับแบบแขวนใต้ฝ้า) ไม่ต้องมีการเตรียมโครงสร้างฝ้าที่ยุ่งยากเท่าแบบฝังฝ้า

ข้อเสีย:

  • ขนาดใหญ่: กินพื้นที่ใช้สอยมาก โดยเฉพาะแบบตั้งพื้น
  • ราคาสูง: ทั้งตัวเครื่องและค่าติดตั้งสูงกว่าแอร์ติดผนัง
  • เสียงดัง: มีเสียงการทำงานที่ดังกว่าแอร์ติดผนังและแอร์ฝังฝ้า
  • ดีไซน์ไม่เน้นความสวยงาม: เน้นฟังก์ชันการทำงานและความทนทานเป็นหลัก อาจไม่กลมกลืนกับการตกแต่งภายในที่เน้นความสวยงาม
  • เหมาะกับพื้นที่เปิดโล่งมากกว่า: การติดตั้งในห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์เยอะอาจทำให้ลมเย็นกระจายไม่ทั่วถึง

สรุป: เลือกแอร์แบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ?

การเลือกประเภทแอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้:

  • ขนาดห้อง: เลือก BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง (สำคัญที่สุด!)
  • งบประมาณ: ตั้งงบประมาณสำหรับค่าเครื่อง ค่าติดตั้ง และค่าบำรุงรักษา
  • ข้อจำกัดของพื้นที่: สามารถเจาะผนังได้หรือไม่? มีพื้นที่สำหรับวางคอมเพรสเซอร์ภายนอกไหม? มีพื้นที่เหนือฝ้าไหม?
  • ความสวยงาม/การออกแบบ: ต้องการให้แอร์กลมกลืนกับการตกแต่งห้องมากน้อยแค่ไหน?
  • ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: ต้องการเคลื่อนย้ายแอร์ได้หรือไม่?
  • ระดับเสียงที่ยอมรับได้: คุณเป็นคนเซ็นซิทีฟกับเสียงดังมากน้อยแค่ไหน?

หวังว่าข้อมูลเปรียบเทียบนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างลงตัวนะคะ!

อ่านบทความ คู่มือเลือกซื้อแอร์ฉบับมือใหม่

Leave a Reply